Cryptocurrency คืออะไร? ทำความรู้จักกับสกุลเงินดิจิทัลแห่งอนาคต
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา “Cryptocurrency” หรือสกุลเงินดิจิทัลได้กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่มีการพูดถึงมากที่สุดในวงการการเงินและเทคโนโลยี ด้วยความที่เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการได้เหมือนกับเงินธรรมดา แต่ที่ทำให้มันโดดเด่นคือการทำงานบนเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ธุรกรรมทั้งหมดโปร่งใสและไม่ต้องพึ่งพาธนาคารหรือองค์กรกลาง
Cryptocurrency ทำงานอย่างไร?
Cryptocurrency ถูกสร้างขึ้นด้วยการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อควบคุมการผลิตและยืนยันการโอนเงิน โดยทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะถูกบันทึกลงใน Blockchain ซึ่งเป็นระบบข้อมูลที่กระจายตัว (Decentralized) และไม่สามารถถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย การที่ไม่มีศูนย์กลางทำให้ Cryptocurrency มีความปลอดภัยสูง และลดความเสี่ยงที่ระบบจะถูกโจมตีหรือแฮก
ประโยชน์และความเสี่ยงของ Cryptocurrency
ประโยชน์:
- ความเป็นส่วนตัว: การทำธุรกรรมด้วย Cryptocurrency ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากนัก ทำให้ผู้ใช้มีความเป็นส่วนตัวสูงขึ้น
- ความปลอดภัย: ระบบ Blockchain มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากการเข้ารหัสข้อมูลและการบันทึกธุรกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขได้
- โอกาสในการลงทุน: Cryptocurrency ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากมีโอกาสในการทำกำไรสูง แม้ว่าในบางช่วงราคาจะผันผวนมาก
ความเสี่ยง:
- ความผันผวนของราคา: Cryptocurrency มีความผันผวนสูง ทำให้มีความเสี่ยงในการลงทุน
- การยอมรับในตลาด: ถึงแม้ว่า Cryptocurrency จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ยังมีบางประเทศหรือธุรกิจที่ไม่ยอมรับการใช้สกุลเงินดิจิทัลนี้
- ความซับซ้อนทางเทคนิค: สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี Blockchain การทำความเข้าใจและใช้งาน Cryptocurrency อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน
ประเภทของเหรียญ Cryptocurrency มีแบบไหนบ้าง?
ปัจจุบันมีเหรียญ Cryptocurrency มากกว่า 9,600 เหรียญในตลาด แต่ละเหรียญก็มีฟังก์ชันการใช้งานและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับประเภทของเหรียญ Cryptocurrency ที่เป็นที่นิยม เพื่อให้นักลงทุนทั้งมือใหม่และมือเก๋าเข้าใจภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น
1. กลุ่มรักษามูลค่า (Store of Value)
เหรียญในกลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษามูลค่าของสินทรัพย์และป้องกันการลดค่าของเงิน เช่น Bitcoin (BTC) ซึ่งถือว่าเป็นราชาแห่งเหรียญ Cryptocurrency เนื่องจากมีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้มันสามารถรักษามูลค่าได้ในระยะยาว ในขณะที่เหรียญอื่น ๆ ที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ก็มี Litecoin (LTC) และ Bitcoin Cash (BCH) ซึ่งมีการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน
2. กลุ่มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract)
เหรียญกลุ่มนี้ใช้สำหรับการสร้างและจัดการสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งเป็นกระบวนการทางดิจิทัลที่ช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นไปโดยอัตโนมัติและไม่ต้องอาศัยตัวกลาง Ethereum (ETH) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของกลุ่มนี้ โดยนักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps) บนเครือข่าย Ethereum นอกจากนี้ยังมีเหรียญอื่น ๆ ในกลุ่มนี้เช่น Cardano (ADA), Solana (SOL), และ Kusama (KSM)
3. กลุ่ม Stablecoin
เหรียญกลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ โดยอิงกับสินทรัพย์เช่นเงินตราหรือทองคำ ตัวอย่างของ Stablecoin ได้แก่ USDT และ USDC ซึ่งมีมูลค่าอ้างอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราส่วน 1:1 ความเสถียรนี้ทำให้ Stablecoin เป็นที่นิยมใช้ในการแลกเปลี่ยนและทำธุรกรรมที่ต้องการความมั่นคง
4. กลุ่ม DeFi (Decentralized Finance)
DeFi เป็นระบบการเงินไร้ตัวกลางที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่นักลงทุนสามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร ตัวอย่างเหรียญในกลุ่มนี้ได้แก่ Maker (MKR), Uniswap (UNI), และ Aave (AAVE) เหรียญเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ ยืมและให้ยืมเงิน รวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ ได้โดยตรงบนแพลตฟอร์ม
5. กลุ่มส่งต่อมูลค่า (Value Transfer)
เหรียญในกลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้การส่งต่อมูลค่าผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ เช่น Ripple (XRP) ซึ่งเน้นในการเป็นสะพานเชื่อมต่อของสกุลเงิน Fiat ในการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยเหรียญอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ได้แก่ Stellar (XLM) และ Velo (VELO)
6. กลุ่ม GameFi
GameFi เป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในเกมหรือโลกเสมือนจริง (Metaverse) เหรียญเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อซื้อไอเทมในเกมหรือได้รับเป็นรางวัลจากการเล่นเกม ตัวอย่างของเหรียญในกลุ่มนี้ได้แก่ Decentraland (MANA), The Sandbox (SAND), และ Axie Infinity (AXS)
7. กลุ่มเหรียญมีม (Meme Coins)
เหรียญมีมถูกสร้างขึ้นเพื่อความสนุกและมักจะได้รับแรงบันดาลใจจากมีมออนไลน์ เช่น Dogecoin (DOGE) ซึ่งแม้จะถูกสร้างขึ้นเป็นเรื่องขำขัน แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ราคาของเหรียญมีมมักจะผันผวนอย่างมาก จึงเหมาะกับการซื้อขายระยะสั้นมากกว่าการลงทุนระยะยาว
การเริ่มต้นใช้งาน Cryptocurrency
หากคุณสนใจที่จะเริ่มต้นใช้งาน Cryptocurrency สิ่งแรกที่ควรทำคือการศึกษาและเข้าใจเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลที่คุณสนใจ รวมถึงการเลือกกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) ที่เหมาะสมสำหรับการเก็บรักษาสกุลเงินดิจิทัลของคุณ นอกจากนี้ การเลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่เชื่อถือได้ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
แชร์บทความ ส่งต่อความรู้กัน: